
ชนิดและวิธีขจัดรอยเปื้อน
1. ความสกปรก (Age Stains)
รอยเปื้อนเหล่านี้บางครั้งเกิดจากผ้าเก่าที่เก็บไว้นานๆ มักจะมีสีตั้งแต่น้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลแก่ ถ้าผ้าหรือวัสดุเหล่านี้สามารถซักได้ และสีของรอยเปื้อนไม่เข้มจนเกินไป โดยทั่วไปสามารถขจัดออกได้ด้วยวิธีการซัก (Laundering) แต่ถ้าเปื้อนมากๆ ควรใช้สารออกซิไดซิ่ง เช่น สารละลายฟอกขาวคลอรีนหรือโปตัสเซียมเปอร์มังกาเนต (KMnO4) โดยใช้สารฟอกขาวที่เป็นสารออกซิไดซิ่งกับผ้าขาวที่ทำจากเส้นใยฝ้าย ลินิน หรือเส้นใยสังเคราะห์ ส่วนโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (Na2S2O4) นิยมใช้กับขนสัตว์สีขาวและไหมสร
2. คราบโปรตีน (Albumins Stains)
รอยเปื้อนจากคราบโปรตีน รวมทั้งไข่ น้ำสลัดข้น (Mayonnaise) เลือด น้ำหนอง (Discharges) และสารต่างๆ ที่คล้ายคลึงกัน ให้นำผ้าที่มีรอยเปื้อนเหล่านี้มาซักด้วยน้ำสบู่และด่างที่อุณหภูมิต่ำ ซึ่งทำให้สามารถขจัดคราบออกไปได้บ้าง แต่ไม่ใช้น้ำร้อนในการขจัดรอยเปื้อน เว้นเสียแต่จะได้ปีับค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ให้อยู่ในช่วง 11.2-11.4 เพราะถ้าเป็นกรดด่างที่มีค่าอยู่ในช่วงนี้การใช้น้ำร้อนจะไม่ทำให้รอยเปื้อนคงตัวหรือติดแน่น คราบโปรตีนส่วนมากจะถูกขจัดในกระบวนการซักล้าง แต่มีคราบโปรตีนบางชนิดที่มีน้ำมันหรือขี้ผึ้ง (Grease) ผสมอยู่ ถ้าน้ำมันหรือขี้ผึ้งนั้นถูกขจัดออกไม่หมดให้ใช้สารพวกตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น น้ำยาซักแห้ง (Drycleaning Solvent) หรือ ตัวทำละลายระเหยง่าย (Volatile Dry Solvent) ในกรณีที่ไม่สามารถขจัดรอยเปื้อนออกได้หมดให้ใช้สารพวกตัวช่วยย่อย (Digestor) ซึ่งเป็นพวกเอ็มไซม์ แต่จะต้องใช้แช่ผ้าบริเวณที่เปื้อนในสารนี้ซักครู่แล้วจึงซักล้าง เอ็มไซม์จะช่วยทำลายคราบโปรตีน หลังจากเกิดปฎิกิริยาทางเคมีแล้ว รอยเปื้อนจะถูกเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของสารที่ละลายน้ำและสามารถขจัดออกจากผ้าได้
3. คราบน้ำมันดินหรือยางมะตอย (Asphalt Stains)
ยางมะตอยหรือน้ำมันดิน น้ำมันยาง (Mineral Pitch) เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหลือจากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม โดยทั่วไปจะประกอบด้วยสารประกอบซัลเฟอร์ สารประกอบไนโตรเจน และสารไฮโดรคาร์บอน ยางมะตอยละลายได้ในน้ำยาซักแห้ง หรือตัวทำละลายที่ระเหยง่าย หรืออะซีโตน แต่ไม่ละลายในแอลกฮอล์หรือน้ำ ข้อควรระวัง อย่าใช้อะซิโตนกับเส้นใยอะซีเตต หรือไตรอะซีเตต
4. คราบเบียร์ (Beer Stains)
รอยเปื้อนของเบียร์จะมีสีน้ำตาลอ่อนๆ มักจะขจัดออกได้โดยการซัก ถ้าไม่ได้ทิ้งคราบนั้นไว้นานเกินไป ถ้ามีคราบเหลืออยู่จะใช้วิธีการฟอกขาวด้วย โซเดียมไฮโปคลอไรท์ สำหรับเส้นใยพืชและใยสังเคราะห์ และใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือโซเดียมเปอร์บอเรต (NaBO3) สำหรับไหม ขนสัตว์ และขนแกะ
5. คราบเลือด (Blood Stains)
คราบเลือดจะทำให้เกิดสีบนผ้า เนื่องมาจากฮีโมโกลบินซึ่งเป็นสารที่มีสีแดงและมีเหล็กเป็นองค์ประกอบ รอยเปื้อนนี้เป็นโปรตีนเช่นเดียวกับคราบโปรตีน และจะเกิดการรวมตัวหรือเกาะแน่นด้วยความร้อน ดังนั้นจะพบว่าการซักผ้าที่ใช้ในการผ่าตัดหรือผ้ากันเปื้อนของคนชำแหละเนื้อจะต้องมีการซักหลายๆ ครั้ง เพื่อขจัดโปรตีนก่อนแล้วจึงใช้น้ำสบู่ที่ร้อน จากนั้นจึงทำการซักล้างอีกครั้ง แต่ถ้าใช้น้ำสบู่ที่อุณหภูมิสูงตั้งแต่ต้นจะต้องปรับค่าความเป็นกรดด่างให้อยู่ในช่วง 11.2-11.4 เพื่อป้องกันการเกาะตัวแน่นของคราบเลือด
โดยปกติแล้วรรอยเปื้อนเลือดจะถูกขจัดออกในกระบวนการซัก ในบางกรณีอาจจะต้องใช้สารฟอกขาวคลอรีนเพื่อขจัดคราบของฮีโมโกลบิน หรืออาจจะต้องใช้กรดออกซาลิค หรือน้ำยาขจัดสนิม ช่วยขจัดคราบสีน้ำตาลซึ่งเกิดจากสีของเหล็กในเลือด แต่ไม่ควรใช้สารฟอกขาวคลอรีนขจัดคราบเลือดบนไหมหรือขนสัตว์ แต่ให้ใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์แทน
6. คราบเนย (Butter of Margarine Stains)
ส่วนใหญ่เป็นรอยเปื้อนน้ำมัน นอกจากนี้ก็มีเกลือ เคซีน (โปรตีนในน้ำนม) อยู่บ้างเล็กน้อย ยอกเหลือจากพวกไขมัน เนย เนยเทียม จะซักออกได้เกือบหมดแต่อาจมีบางส่วนหลงเหลืออยู่ ให้ใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ในการขจัดต่อไป
7. คราบเปื้อนจากกระดาษคาร์บอน (Carbon Paper Stains)
การขจัดรอยเปื้อนประเภทนี้ทำได้โดยใช้น้ำยาลบหมึกพิมพ์ (Oily Type Paint Remover) และตัวทำละลายที่ระเหยง่าย ถ้ารอยเปื้อนขนาดเล็ก ให้ใช้กระดาษซับหรือผ้าวางรองข้างใต้ แล้วจึงหยดน้ำยาลงไปจากนั้นให้ใช้ตัวทำละลายที่ระเหยง่ายหรือน้ำยาซักแห้งอย่างใดอย่างหนึ่งล้างให้สะอาดอีกครั้ง ถ้ารอยเปื้อนมีขนาดใหญ่และติดทนให้ใช้น้ำยาลบหมึกพิมพ์หยดลงบนบริเวณรอยเปื้อน แล้วล้างด้วยตัวทำละลายที่ระเหยง่ายหรือน้ำยาซักแห้งก่อน แล้วจึงนำไปซักล้างให้สะอาด ถ้ายังมีรอยเปื้อนหลงเหลืออยู่ให้ขจัดออกด้วยสารฟอกขาวพวกสารออกซิไดซิ่ง
8. คราบซอสมะเขือเทศ (Ketchup Stains)
คราบเหล่านี้ถูกขจัดในกระบวนการซักล้าง แต่จะได้ผลดีมากขึ้นถ้าใช้สารซึ่งใช้ในการขจัดแทนนิน (Commercial Tannin Remover) โดยใช้สารละลายนี้ถูหรือแปรงลงบนรอยเปื้อน แล้วล้างให้สะอาด รอยเปื้อนที่ติดทนอาจจะต้องทำซ้ำหลายๆ ครั้ง แต่ถ้ายังขจัดไม่หมดให้ใช้สารฟอกขาวที่เป็นสารออกซิไดซิ่ง
9. คราบกาแฟ โกโก้ และช็อกโกแลต (Coffee, Cocoa, Chocolate Stains)
คราบกาแฟถูกขจัดออกหมดในกระบวนการซักล้าง แต่ถ้าคราบนั้นถูกทำให้ติดแน่นด้วยความร้อนอาจจะต้องใช้สารออกซิไดซิ่งในการฟอกขาวเพื่อขจัดรอยเปื้อนที่หลงเหลืออยู่ คราบโกโก้ และช็อกโกแลต ใช้วิธีคล้ายกับการขจัดรอยเปื้อนลูกอม (Candy) โดยใช้สารออกซิไดซิ่งหรือสารรีดิวซิ่ง
10. คราบครีมและไอศครีม (Cream and Ice cream Stains)
คราบนมและครีมซึ่งเป็นโปรตีน จะมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับคราบโปรตีน (Albuminous Stains) การขจัดขั้นแรกควรทำที่อุณหภูมิต่ำกว่า 100C แต่ถ้าใช้อุณหภูมิสูงต้องควบคุมความเป็นกรดด่างให้อยู่ในช่วง 11.2-11.4 เพราะอุณหภูมิต่ำหรือความเป็นด่างสูง จะเป็นตัวป้องกันการติดแน่นของคราบโปรตีนบนผ้า ในกรณีเดียวกันถ้าใช้วิธีข้างต้นไม่ได้ผลให้ใช้สารช่วยย่อยในการขจัดรอยเปื้อนนั้น
11. คราบแลคเกอร์ (Duco-Lacquer Stains)
ดูโค (Duco) เป็นสารละลายของไนโตรเซลลูโลสบางครั้งจะมีสารพวกเม็ดสี (Color Pigment) อยู่ด้วย เมื่อตัวทำละลายหรือทินเนอร์ระเหยไป จะเหลือแต่แผ่นฟิมล์ไนโตรเซลลูโลสและเม็ดสี ตัวทำละลายที่ใช้ในการขจัดคราบแลคเกอร์ได้แก่ อะซีโตน และเอธิลอะซีเตต เป็นต้น
12. คราบสี (Dye and Contact Stains)
รอยเปื้อนจากสี เป็นรอยเปื้อนที่ขจัดออกจากผ้าได้ยากที่สุด คราบสีบางชนิดอาจขจัดได้โดยการซักหลายๆ ครั้ง บางชนิดก็ต้องใช้สารฟอกขาว แต่ก็มีสีบางชนิดเมื่อถูกขจัดจากผ้าชนิดหนึ่งก็อาจจะไปเปื้อนติดผ้าอีกชนิดหนึ่ง ทำให้การขจัดออกทำได้ยากยิ่งขึ้น การขจัดรอยเปื้อนของสีบนผ้าหรือวัสดุที่มีสี จะต้องคำนึงถึงความคงทนของสีย้อมเดิม (Fastness of Original Color) โดยอาจจะทดสอบสีบริเวณตะเข็บด้านในด้วยสารที่คิดว่าเหมาะสม ถ้าสีมีความคงทนเพียงพอก็สามารถขจัดรอยเปื้อนนั้นได้ตามลำดับ ดังนี้
- ใช้โซเดียมไฮโดรซัลไฟท์
- การฟอกขาวด้วยคลอรีน
- โปตัสเซียมไดโครเมต แล้วตามด้วยสารละลายที่อุ่นของโซเดียมไฮโดรซัลไฟท์ ขั้นสุดท้ายให้ใช้สารขจัดสนิมที่เหมาะสม
ข้อควรระวัง เมื่อใช้กรดกับสารฟอกขาวคลอรีนจะทำให้เกิดการเร่งปฎิกิริยา การฟอกขาวและผ้าอาจจะเสียหายได้ และอย่าใช้สารฟอกขาวคลอรีนกับผ้าไหมหรือขนสัตว์
13. คราบเปื้อนจากอาหารประเภทไข่ (Eggs Stains)
คราบเปื้อนจากอาหารประเภทไข่เป็นพวกโปรตีน ปกติจะขจัดได้ในขบวนการซัก (ดูวิธีขจัดคราบโปรตีนได้ตามข้อ 2.)
14. คราบขี้ผึ้ง (Floor Wax Stains)
ขี้ผึ้งพื้นมักประกอบด้วย ขี้ผึ้งคาร์เนาว์บา (Carnauba Wax) ถ้ารอยเปื้อนมีขนาดเล็กให้ใช้น้ำยาซักแห้งหรือตัวทำละลายที่ระเหยง่าย ละลายคราบที่ติดอยู่ออกไป เมื่อนำผ้าไปผ่านกระบวนการซักล้างโดยใช้ความร้อนด้วย จะสามารถขจัดคราบขี้ผึ้งเหล่านี้ออกไปได้
15. คราบผลไม้ (Fruit Stains)
คราบจากผลไม้ โดยทั่วไปจะถูกกำจัดออกในการซัก ผลไม้ที่ใช้ในการทำอาหารและน้ำเบอรี่ต่างๆ (Berry Juices) จะถูกขจัดง่ายกว่าน้ำผลไม้ดิบ (Raw Juices) ถ้าไม่สามารถขจัดออกได้ในกระบวนการซัก ให้ใช้สารออกซิไดซิ่ง หรือสารรีดิวซิ่ง (เช่น โซเดียมไฮโดรซัลไฟท์ ซึ่งเป็นสารรีดิวซิ่ง) ในการฟอกขาวและใช้ได้กับผ้าทุกชนิด ส่วนไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งเป็นสารออกซิไดซิ่งใช้ในการฟอกขาวสำหรับผ้าไหม และขนสัตว์ สารฟอกขาวคลอรีนใช้ได้กับเส้นใยชนิดอื่นๆ ข้อควรระวัง ควรทดสอบสารเคมีที่จะใช้ว่ามีผลต่อสีบนผ้าหรือไม่
16. คราบไอโอดีน (Iodine Stains)
ถ้าหยดไอโอดีนลงบนผ้าที่ไม่มีแป้ง จะเห็นเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาลเกิดขึ้นแต่ถ้ามีแป้งอยู่จะเกิดเป็นสีฟ้า รอยเปื้อนเหล่านี้ปกติไม่สามารถขจัดได้ในขบวนการซักแต่ขจัดได้โดยใช้สารละลายโซเดียมไธโอซัลเฟต ความเข้มข้น 10% และอุ่น แล้วซักให้สะอาด
17. คราบสนิมเหล็ก (Iron Stains)
คราบเหล็กหรือคราบสนิมเกิดจากไฮเดรทเตตเฟอร์รัส (Hydrated Ferrous) หรือเฟอร์ริคออกไซด์กับเฟอร์ริคคาร์บอเนตในอัตราส่วนต่างๆ กัน คราบเหล่านี้ถูกขจัดออกได้โดยการใช้สารละลายกรดออกซาลิคเจือจางที่อุุ่นหรือสารอื่นที่เป็นสารขจัดสนิม ควรล้างอย่างระมัดระวัง การซักล้างที่ค่าความเป็นกรดด่างเท่ากับ 5 จะไม่สามารถขจัดสนิมได้ จำเป็นต้องใช้ภาวะการซักล้างที่รุนแรงยิ่งขึ้น โดยปรับให้ค่าความกรดด่างต่ำกว่า 5 ก่อน จึงทำการขจัด และเมื่อขจัดรอยเปื้อนเสร็จแล้ว ให้ปรับค่าความเป็นกรดด่างกลับไปที่ 5 แล้วจึงซักล้างให้สะอาดต่อไป
18. คราบลิปสติคและแป้งรองพื้น (Lipstick and Make up Stains)
วัสดุเหล่านี้จะเป็นสารพวกสีในน้ำมีัน (Dyestuff in Oil Base) การซักล้างโดยทั่วไปไม่สามารถขจัดคราบเหล่านี้ได้ และล้างด้วยตัวทำละลายที่ระเหยง่ายหรือน้ำยาซักแห้งหลังจากผ่านขบวนการขจัดและซักแล้ว หากยังมีคราบสีเหลืออยู่ให้ใช้สารฟอกขาวหรือสารลอกสี ซึ่งมักจะเริ่มด้วยการใช้สารละลายเจือจางของโปตัสเซียมไดโครเมต (K2CrO7) ตามด้วยสารละลายโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ที่อุ่น และสารขจัดสนิม (Proprietary Rust Remover)
19. คราบน้ำสลัดข้น (Mayonnaise and Salad Dressings)
คราบเหล่านี้ขจัดออกโดยการซัก ในเครื่องปรุงสลัดจะมีส่วนประกอบของโปรตีน ซึ่งสามารถขจัดออกโดยการซักในน้ำเย็น หรือในน้ำร้อนที่มีค่าความเป็นกรดด่างอยู่ที่ 11.2-11.4 (เพื่อป้องกันการติดแน่นของรอยเปื้อน) หรืออาจะใช้น้ำยาลบหมึกพิมพ์แล้วตามด้วยน้ำยาซักแห้ง
น้ำสลัดและเครื่องปรุงสลัดยังมีส่วนประกอบของน้ำมันอยู่ จึงใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ในการขจัดได้ดีเช่นกัน
20. คราบมัสตาด (Mustard Stains)
สีเหลืองของมัสตาดคือ ขมิ้น (Tumeric) ซึ่งเป็นสารสีเหลืองตามธรรมชาติ การขจัดคราบควรล้างมัสตาดส่วนเกินออกไปก่อนแล้วจึงนำไปซัก ถ้ายังมีคราบเหลืออยู่ให้ใช้สารขจัดแทนนินซักให้สะอาดอีกครั้ง ถ้ายังออกไม่หมดให้ใช้สารฟอกขาวคลอรีน แต่ถ้าผ้านั้นเป็นผ้าไหมหรือขนสัตว์ให้ใช้สารละลายโปตัสเซียมไดโครเมต แล้วตามด้วยสารละลายโซเดียมไฮโดรซัลไฟท์ที่อุ่น และใช้สารขจัดสนิมเป็นขั้นสุดท้ายก่อนนำไปล้างให้สะอาด
21. คราบที่เกิดจากสีทาบ้าน น้ำมันต่างๆ ยางหรือไม้ยางพาราดิบ (Paint, Oil Base or Latex Stains)
22.คราบกาวยาง (Rubber Cement Stains)
โดยทั่วไปรอยเปื้อนเหล่านี้สามารถกำจัดออกได้ด้วยโทลูอีน หรือเบนซิน แต่สารทั้งสองตัวนี้ติดไฟง่ายและเป็นอันตรายต่อร่างกาย ในขณะใช้สารนี้ไม่ควรอยู่ใกล้ไฟ และไม่ควรให้สารนี้ถูกร่างกายหรือสูดเอาไอของสารนี้เข้าไปมากนัก
23. คราบน้ำมันสลัด (Salad Oil Stains)
สามารถขจัดออกโดยการซัก ส่วนที่เหลือให้ใช้น้ำยาซักแห้งหรือตัวทำละลายที่ระเหยง่าย ถ้ามีสีเหลืองติดอยู่ ให้ใช้ผงฟอกขาวคลอรีนแล้วล้างให้สะอาด
24. รอยเกรียม (Scorch Stains)
คราบเหล่านี้มักมีสีน้ำตาล (Tan or Brown) ขึ้นอยู่กับความรุนแรง ถ้ารอยนั้นรุงแรงมากเส้นใยอาจถูกทำลาย รอยเกรียมที่เกิดขึ้นน้อยๆ อาจขจัดออกโดยการซัก ถ้ารอยนั้นรุนแรงไม่มาก อาจฟอกขาวด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ แต่ถ้ารุนแรงจนถึงกับทำลายเส้นใยก็ไม่สามารถขจัดได้
25. คราบน้ำเชื่อม (Syrup Stains)
ในการซัก น้ำเชื่อมหรือน้ำตาลก็สามารถละลายหลุดออกไปได้ แต่ถ้ามีน้ำไม้หรือสีของอาหารอยู่ด้วย อาจเลือกใช้สารออกซิไดซิ่งที่เหมาะสม เช่น สารฟอกขาว คลอรีน ในกรณีที่ผ้านั้นเป็นผ้าฝ้าย หรือผ้าลินิน ถ้าเป็นผ้าไหม หรือขนสัตว์ก็เลือกใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรืออาจใช้สารละลายโปตัสเซียมไดโครเมต แล้วตามด้วยโซเดียมไฮโดรซัลไฟท์ และสารขจัดสนิมซึ่งใช้ได้กับทั้งผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ไหม หรือขนสัตว์
คราบแทนนิน (Tannin Stains)
แทนนินเป็นสารตัวหนึ่งที่มีอยู่ในชาและกาแฟ และรอยเปื้อนนี้เป็นรอยเปื้อนที่ขจัดออกได้ยากที่สุด ในกรณีที่เปื้อนใหม่ก็มักจะล้างออกหมด ถ้าล้างไม่หมดและยังไม่เกาะติดแน่นอยู่บนผ้าก็อาจจะใช้สารขจัดแทนนิน แต่ถ้ายังมีรอยเหลืออยู่ อาจใช้สารรีดิวซิ่ง เช่น โซเดียมไฮโดรซัลไฟท์ในการฟอกขาวก็ได้
คราบยาสูบ (Tabacco Stains)
รอยเปื้อนที่ประกอบด้วยสารสีน้ำตาลตามธรรมชาติในบางครั้งอาจจะเติมกากน้ำตาล (Molasses) ในส่วนที่ใช้เคี้ยว (Chearing Tobacco) ถ้าการซักไม่สามารถขจัดรอยเปื้อนได้ให้ใช้สารรีดิวซิ่ง เช่นผงซักฟอกคลอรีน คราบยาสูบส่วนมากละลายได้ในเมธิวแอลกฮอล์ ฉะนั้นอาจใช้สารดังกล่าวนี้ก่อนแล้วจึงแช่ในสารออกซิไดซิ่ง